ตอบข้อสงสัย ทานตะวันอาจรวยเพราะ
“ประกันชีวิตควบการลงทุน”
- หลายคนคงสงสัยว่าพ่อแม่ทานตะวันใน “รักฉุดใจนายฉุกเฉิน” ทำประกันชีวิตอะไรถึงมีเงินให้ลูกใช้เยอะขนาดนี้
- เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็น “ประกันชีวิตควบการลงทุน” ที่นักธุรกิจอย่างพ่อแม่ของทานตะวันคงจะเข้าใจ และเลือกซื้อไว้ เพื่อให้ลูกสบายยามตัวเองจากไปแล้ว
- ซึ่งข้อดีของการทำประกันแบบนี้ คือ ไม่นับว่าเป็นมรดก จึงไม่ต้องเสียภาษีมรดก และผู้เอาประกันเลือกได้ว่าจะปรับสัดส่วนให้กับการคุ้มครองชีวิตหรือการลงทุนมากกว่า
กลายเป็นกระแสของโซเชียลที่กำลังถูกพูดถึงอย่างมาก สำหรับ “รักฉุดใจนายฉุกเฉิน” กับบท “ทานตะวัน” ที่พ่อแม่ถูกศาลตัดสินให้เป็นบุคคลล้มละลาย จนต้องฆ่าตัวตายโดยสร้างสถานการณ์ว่าเป็นอุบัติเหตุเพื่อนำเงินประกันมาให้ลูก ทำเอาคนดูอดสงสัยไม่ได้ว่าพ่อแม่ต้องทำประกันแบบไหน ทานตะวันถึงมีเงินซื้อรถเปิดประทุนและของแบรนด์เนมได้โดยที่ไม่ต้องทำงาน แต่ก็ยังมีเงินใช้ตลอดตั้งแต่เด็กยันโต จึงสันนิษฐานได้ว่ารูปแบบหนึ่งของการทำประกันอาจจะเป็น “ประกันชีวิตควบการลงทุน” ที่สามารถเพิ่มมูลค่าทางการเงินได้ มาดูกันต่อว่าเป็นยังไง
ประกันชีวิตควบการลงทุนคืออะไร
ประกันชีวิตควบการลงทุน คือ การทำประกันชีวิต + กองทุนรวม โดยกองทุนรวมจะมีหลายระดับความเสี่ยงให้เลือกลงทุนได้ ยิ่งความเสี่ยงสูง ยิ่งได้เงินมาก และยังเลือกลงทุนได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นไปได้ว่าพ่อแม่ของทานตะวันอาจจะเลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง อาจจะเป็นกองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมดัชนีหุ้น กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) หรือไม่ก็เป็นกองทุนในต่างประเทศไปเลย ซึ่งมีเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนมาเกี่ยวข้องด้วย และที่เราไม่เห็นว่าทานตะวันทำงานหรือเกี่ยวข้องกับการลงทุนก็เพราะว่ามันไม่ต้องนั่งเฝ้า เพราะมีผู้ดูแลผลประโยชน์ให้อยู่แล้ว โดยพวกเขาจะคอยติดตามสถานการณ์ว่าหุ้นตัวไหนดีหรือน่าสนใจ รวมถึงตัดสินใจ – ซื้อขายเพื่อทำกำไรให้ด้วย
ข้อดีของการทำประกันชีวิตควบการลงทุน
การทำประกันชีวิตควบการลงทุนจะได้ทั้งความคุ้มครองชีวิตและผลตอบแทนในการลงทุน หากผู้เอาประกันเสียชีวิตก็จะไม่นับว่าเป็นทรัพย์มรดก ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีมรดก และจะรับผลประโยชน์สูงสุด 120 – 130% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย หรือ 120 – 130% ของมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน ขึ้นอยู่กับว่าสัดส่วนไหนมากกว่า และถ้าเป็นกรณีพ่อแม่ของทานตะวันซึ่งเป็นนักธุรกิจโด่งดัง ก็มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเลือกความคุ้มครองสูง ๆ รวมถึงเลือกกองทุนที่มีความเสี่ยงปานกลาง – สูงได้ด้วย เพื่อให้มีเงินก้อนดูแลครอบครัวได้
เช่น ถ้าเลือกความคุ้มครองสูงสุด 15,000,000 บาท พ่อแม่ของทานตะวันจะต้องจ่ายเบี้ยประกันมากกว่า 10 ปี โดยจะจ่ายแบบครั้งเดียวหรือจ่ายรายปีก็ได้ ซึ่งเบี้ยประกันที่จ่ายส่วนหนึ่งจะนำไปซื้อความคุ้มครองชีวิต ส่วนที่เหลือก็ไปซื้อกองทุนรวม เมื่อพ่อแม่ของทานตะวันเสียชีวิต ทานตะวันก็จะได้เงิน 15,000,000 บาท เท่ากับ 100% ส่วนอีก 20-30% ก็มาจากการลงทุนนั่นเอง เท่ากับว่ามีโอกาสได้เงินสูงสุดคนละ 19,500,000 บาท พ่อแม่สองคนรวมกันก็เป็น 39,000,000 บาท
ที่พิเศษไปกว่านั้นคือพ่อแม่ของทานตะวันจะเลือกปรับสัดส่วนของประกันชีวิตกับการลงทุนยังไงก็ได้ว่าจะเอาสัดส่วนไหนมากกว่า ถ้าต้องการทุนประกันสูง เบี้ยก็จะถูกจ่ายไปที่ความคุ้มครองมากกว่า ส่วนเงินลงทุนก็จะน้อยลง แต่ถ้าต้องการลงทุนมากกว่า บริษัทจะให้เลือกว่าจะลงทุนในกองทุนอะไร แล้วความเสี่ยงนั้นเรายอมรับได้ไหม ถ้ายอมรับได้ก็มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนมากขึ้นกว่าเดิม
แล้วเงินที่ได้มาทั้งหมดมันพอได้ยังไง ?
ถ้าเทียบกับรถหรู ๆ และของแบรนด์เนมที่ทานตะวันใช้มาจนถึงทุกวันนี้
การลงทุนในกองทุนรวมไม่จำเป็นต้องลงทุนเพียงตัวเดียว เราสามารถเลือกลงทุนกี่ตัวก็ได้ นอกจากนี้บริษัทประกันบางบริษัทยังมีโบนัสสำหรับการถือกรมธรรม์ตั้งแต่ปีที่ 6 ขึ้นไปให้อีก 0.2% ของมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน ซึ่งจะได้ทุกปีนับจากปีที่ 6 เป็นต้นไป ยิ่งลงทุนสูง ก็ได้โบนัสสูง สำหรับทานตะวันแล้วแค่เงินโบนัสก็ซื้อของแบรนด์เนมได้สบาย ๆ และตัวของทานตะวันเองก็มีโอกาสนำเงินที่ได้ไปลงทุนต่อในกองทุนหรือหุ้นอื่น ๆ ได้อีกเช่นเดียวกัน สมมติว่าลงทุนไป 30,000,000 บาท ได้กำไร 20% ต่อปี ก็มีเงินใช้ปีละ 6,000,000 บาทเลยแหละ
นี่เป็นเพียงการสันนิษฐานที่อาจเป็นไปได้สำหรับการทำประกันชีวิตของพ่อแม่ทานตะวันเท่านั้น เพราะการทำประกันชีวิตควบการลงทุนก็เข้าข่ายสำหรับคนที่ต้องการได้รับความคุ้มครองสูง และวางแผนไว้ให้คนข้างหลังได้มีเงินใช้เยอะ ๆ ยิ่งเป็นพ่อแม่ของทานตะวันที่เป็นนักธุรกิจ ก็ย่อมเข้าใจเรื่องการลงทุนอยู่แล้ว และอาจจะซื้อประกันที่ราคาสูงกว่าที่คำนวณไว้ก็ได้ ที่นี่ก็หายสงสัยแล้วว่าทำไมทานตะวันถึงรวยอู่ฟู่ ขับรถหรู ๆ แถมไม่ต้องทำงานอีกด้วย
หากใครที่อยากให้ครอบครัวมีชีวิตแบบทานตะวันก็ลองศึกษาการทำประกันชีวิตควบการลงทุนดู แต่ถ้าคิดว่าไม่ได้รวยเท่าก็อย่าเพิ่งถอดใจไป เพราะการทำประกันแบบนี้มีให้เราเลือกว่าจะจ่ายเบี้ยประกันเท่าไรให้เหมาะสมกับตัวเอง และอย่างน้อยก็มีเงินสำรองไว้ให้ลูกให้หลาน อย่าประมาทกับชีวิต เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้