จับตาพร้อมรับมือกับ 7 เทรนด์สุขภาพก่อนขึ้นปี 2025 | Advertorial
- เตรียมพร้อมขึ้นปีใหม่ด้วยสุขภาพดีทุกมิติ ด้วย 7 เทรนด์สุขภาพประจำปี 2025 เพื่อการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรู้เท่าทัน
- เทรนด์สุขภาพในปี 2025 ยังคงให้ความสำคัญเกี่ยวกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง ภาวะโลกเดือด และฝุ่น PM 2.5 ที่สามารถนำไปสู่โรคต่าง ๆ และผลกระทบด้านเศรษฐกิจได้
- ส่วนทางเทรนด์สุขภาพด้านร่างกายที่น่าสนใจในปี 2025 จะเกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- สุขภาพจิตเป็นเทรนด์สุขภาพที่ผู้คนในปัจจุบันหันมาให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิต
- นอกจากนี้ ก็ยังมีเทรนด์สุขภาพอื่น ๆ ที่มาพร้อมกับการพัฒนาของเทคโนโลยี เช่น ภัยจากการใช้อินเทอร์เน็ตหรือโทรศัพท์มากเกินไป และอันตรายจากบุหรี่ไฟฟ้า
ปีใหม่คือเวลาที่ทุกคนต่างหวังจะเริ่มต้นด้วยสิ่งที่ดี และสิ่งที่สำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘สุขภาพที่ดี’ Short Recap ชวนทุกคนไปดู 7 เทรนด์สุขภาพน่าจับตามองที่ทาง สสส. ได้สรุปรวมไว้ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมรับมือดูแลสุขภาพในทุกมิติ จะมีเทรนด์สุขภาพอะไรบ้าง ไปดูกันเลย!
1. ภาวะโลกเดือด
ในปี 2025 สถานการณ์ภาวะโลกร้อนก็ยังคงมีแนวโน้มทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ในหลายด้าน เช่น การเสียชีวิตจากคลื่นความร้อน โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคที่เกิดจากยุงและแมลง ซึ่งรวมถึงผลกระทบต่อสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้นจากความไม่มั่นคงในชีวิต โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ประสบปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ อีกทั้ง ความรุนแรงของภาวะโลกร้อนก็ส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึง ภาคเกษตรกรรมที่เป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจไทย
เทรนด์สุขภาพในปี 2025 จึงมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความตระหนักและการเตรียมตัวรับมือกับปัญหาสุขภาพที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งประเทศไทยได้กำหนดแนวทางการรับมือที่สำคัญ 4 ประการ ได้แก่
- H: Health Literacy เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพได้
- N: Networking for Capacity Building ซึ่งเป็นการร่วมมือของทุกภาคส่วน
- A: Advocacy for Commitment หรือการเสริมสร้างความพร้อมของประเทศ
- P: Public Health Preparedness ซึ่งเป็นการพัฒนาระบบการสาธารณสุข
นอกจากนี้ การพูดถึงภาวะโลกเดือดบนโซเชียลมีเดียที่เพิ่มมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวของคนไทยที่ตระหนักถึงความเร่งด่วนของปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ต้องการการแก้ไข
2. ฝุ่น PM 2.5
ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ยังเป็นปัญหาที่คุกคามหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นหนึ่งเทรนด์สุขภาพที่น่าจับมองในปี 2025 เนื่องจากส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจของคนไทยทุกช่วงวัย โดยสาเหตุหลักของฝุ่น PM 2.5 มาจากพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น การจุดธูป การสูบบุหรี่ เครื่องยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม การเผาเพื่อทำการเกษตร เป็นต้น
จากงานวิจัยชี้ว่า PM 2.5 สามารถก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ อาทิ โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจขาดเลือด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และมะเร็งปอด รวมถึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต เนื่องจากฝุ่น PM 2.5 มีผลต่อการทำงานของสารสื่อประสาท และนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า ภาวะเครียด ไปจนถึงการฆ่าตัวตายได้
ปัญหานี้ไม่เพียงส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่ยังมีผลกระทบทางเศรษฐกิจในรูปของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและการสูญเสียโอกาสจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร หากปัญหานี้ไม่ถูกแก้ไข อาจทำให้สถานการณ์ทางสุขภาพและเศรษฐกิจยิ่งทวีความรุนแรง
3. ปัญหาสุขภาพจิต
ในปี 2025 เทรนด์สุขภาพด้านจิตเวชกำลังจะได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากปัญหาสุขภาพจิตส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนทุกช่วงวัย และแม้ว่าสังคมจะตื่นตัวและตระหนักถึงปัญหานี้มากขึ้น แต่สถิติผู้ป่วยจิตเวชและอัตราการฆ่าตัวตายยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิตและจำนวนบุคลากรที่ไม่เพียงพอก็ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ
ผลกระทบของปัญหาสุขภาพจิตไม่ได้หยุดแค่ตัวผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อคนรอบข้างและระบบเศรษฐกิจ เช่น การสูญเสียวันทำงานกว่า 12,000 ล้านวันต่อปี การแก้ปัญหาจึงต้องมาจากความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อสร้างความเข้าใจและลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการอย่างยั่งยืน
4. พฤติกรรมติดจอ
การใช้งานอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือกลายเป็นเทรนด์สุขภาพที่ต้องจับตามองในยุคดิจิทัล เนื่องจากคนไทยมีสถิติการใช้งานอินเทอร์เน็ตเฉลี่ยถึง 7.04 ชั่วโมงต่อวัน และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ใช้งานโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตสูงสุดในโลก แต่ในขณะเดียวกันคนไทยกลับมีความรู้ในการป้องกันภัยออนไลน์ค่อนข้างต่ำ จึงทำให้คนไทยได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจากการใช้งานที่มากเกินไปในทุกช่วงวัย
สำหรับเด็กเล็ก การติดหน้าจอทำให้พัฒนาการล่าช้าและมีปัญหาสมาธิสั้น ส่วนวัยรุ่นอาจเผชิญความเสี่ยงจากการพนันออนไลน์ สื่อลามก หรือการถูกกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ ในขณะที่ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมไซเบอร์
การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภาครัฐควรออกกฎหมายและมาตรการป้องกัน ภาคเอกชนควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูล และบุคคลทั่วไปควรเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยไซเบอร์ เพื่อให้เทคโนโลยีกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาชีวิตอย่างแท้จริง
5. โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)
ในปี 2025 โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ยังคงเป็นเทรนด์สุขภาพที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการสูญเสียและการเสียชีวิตก่อนวันอันควรในสังคมไทย แม้สถานการณ์โดยรวมจะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่จำนวนผู้ป่วยในบางกลุ่มยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเด็กที่เริ่มมีภาวะอ้วนเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงโรคเรื้อรังในอนาคต
ในกลุ่มวัยทำงานแม้ว่าจะมีความรู้ทางสุขภาพสูง แต่กลับมีผลลัพธ์ด้านสุขภาพต่ำ เช่น ดัชนีมวลกายเกินเกณฑ์ และผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจำนวนมากที่ไม่เคยได้รับการวินิจฉัยหรือรักษา ปัญหานี้สะท้อนถึงช่องว่างระหว่างความรู้และพฤติกรรมสุขภาพที่ยังต้องการการปรับปรุง
ผลกระทบจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังไม่เพียงแต่ส่งผลต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากถึง 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี หรือ 9.7% ของ GDP โดยสาเหตุหลักคือการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและประสิทธิภาพการทำงานลดลง
6. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
หนึ่งในเทรนด์สุขภาพที่ต้องจับตามองในปี 2025 คือ ปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนอายุ 15-24 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการให้ความรู้และส่งเสริมการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
โดยสาเหตุสำคัญในการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้แก่ การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย การไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกันขณะมีเพศสัมพันธ์ และการขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันโรค จึงส่งผลกระทบทั้งทางร่างกาย และทางจิตใจ เช่น ความเครียดและการถูกตราหน้าจากสังคม นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและสังคมในวงกว้างอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนไทยได้เริ่มให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากขึ้น เห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของคอนเทนต์เกี่ยวกับ “เพศสัมพันธ์” และ “ถุงยางอนามัย” บนโซเชียลมีเดีย เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการส่งเสริมความรู้และสร้างความตระหนักรู้ในสังคม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดและลดผลกระทบในระยะยาว
7. บุหรี่ไฟฟ้า
บุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นเทรนด์สุขภาพที่น่ากังวลอย่างยิ่งในปี 2025 ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่ชาญฉลาด เน้นรูปลักษณ์ทันสมัย กลิ่นหลากหลาย และภาพลักษณ์ที่ดู ‘ปลอดภัย’ ทำให้บุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นสัญลักษณ์ของความเท่ในหมู่เยาวชน
อย่างไรก็ตาม บุหรี่ไฟฟ้ากลับซ่อนภัยร้ายต่อสุขภาพที่ไม่ต่างจากบุหรี่ทั่วไป ทั้งนี้ยังสามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่านการซื้อขายออนไลน์ ขณะที่ความเข้าใจของผู้ปกครองเกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้ายังมีอยู่อย่างจำกัด ส่งผลให้ปัญหานี้ขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น หากต้องการสร้างอนาคตที่สุขภาพดีอย่างยั่งยืน สังคมจำเป็นต้องตื่นตัวและร่วมมือในการหามาตรการป้องกัน เช่น การควบคุมการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า การเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า และการสร้างความเข้าใจแก่เด็ก เยาวชน และผู้ปกครองอย่างทั่วถึง
การได้รู้เทรนด์สุขภาพปี 2025 ไม่ได้ทำให้คุณตามทันกระแสสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นแนวทางที่จะช่วยให้คุณสามารถดูแลตัวเองได้ดีขึ้นในทุกมิติ เพราะการเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคตย่อมดีกว่าการแก้ไขอดีต หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมแบบเจาะลึกเทรนด์สุขภาพ สามารถอ่านได้ที่คู่มือ ThaiHealth WATCH 2025 โดย สสส. แล้วเตรียมพร้อมก้าวสู่ปีใหม่อย่างสุขภาพดี