รถ EV กับอากาศสะอาก

เหตุผลที่ ‘รถ EV’ เป็นทางเลือกสุดกรีน เพื่อให้มีอากาศสะอาด | Advertorial

  • ประเทศไทยตั้งเป้าหมายเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ
  • รถ EV จึงกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่มีส่วนช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ พร้อมผลักดันให้มีอากาศสะอาด
  • การเลือกใช้รถ EV เพียงหนึ่งคันสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เฉลี่ย 1.5 ตันต่อปี ถือว่ามีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษอากาศที่น้อยกว่าการขับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน

หากจะพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้า หรือ ‘รถ EV’ ในปัจจุบันถือได้ว่ากำลังได้รับความสนใจและนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะมาจากเทรนด์ เป็นตัวเลือกเพื่อใช้แทนรถยนต์จากพลังงานเชื้อเพลิง หรือใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้นก็ตาม แต่ปัจจัยสำคัญที่รถ EV มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเลยก็คือ การมุ่งสู่ Net Zero และ Carbon Neutrality ที่นอกจากจะช่วยโลกแล้ว ยังไม่ก่อมลพิษทางอากาศเพื่อให้เราได้สัมผัสอากาศสะอาดได้ในเร็ววันอีกด้วย

สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง นำมาสู่เป้าหมายลดปล่อยคาร์บอน

สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง นำมาสู่เป้าหมายลดปล่อยคาร์บอน

หลายคนคงทราบดีว่าทั่วโลกกำลังตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยเองก็ได้มีการตั้งเป้าหมายเพื่อรับมือและแก้ไขกับปัญหานี้เช่นกัน โดยตั้งเป้าหมายเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ซึ่งแน่นอนว่าเทคโนโลยีอย่าง รถ EV จะกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยผลักดันให้เรามีคุณภาพอากาศที่ดี พร้อมรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วยได้

สาเหตุของมลพิษทางอากาศเกิดได้จากหลายปัจจัย แต่สาเหตุหลักมักเกิดจากสิ่งที่คนเราก่อขึ้นทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมต่าง ๆ ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เว้นแม้กระทั่งการเดินทางด้วยยานพาหนะที่เป็นเครื่องยนต์ โดยเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซลที่เป็นตัวการก่อให้เกิดก๊าซพิษต่าง ๆ รวมทั้งฝุ่น PM2.5 ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโลกและสุขภาพเราในระยะยาว

จากข้อมูลใน ThaiHealth WATCH 2023 เผยข้อมูลว่า ผู้คนบนโลกกว่า 99% หรือแทบทั้งโลกกำลังสูดอากาศที่มีมลพิษ รวมทั้งฝุ่นละอองขนาดเล็กและไนโตรเจนไดออกไซด์ในระดับที่ไม่ดีต่อสุขภาพเข้าไป ในแต่ละปีมีจำนวนผู้เสียชีวิตหลายล้านคนทั่วโลก มีสาเหตุจากคุณภาพอากาศที่แย่ลง หรือเรียกได้ว่า กำลังตกอยู่ในโซนสังเวยชีวิต (Sacrifice Zones) กระทบต่อปัญหาสุขภาพกาย นำไปสู่สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคหลอดเลือดสมอง และปัญหาอนามัยการเจริญพันธุ์ หรือแม้แต่ปัญหาสุขภาพจิตที่เกี่ยวข้องจากการอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมเป็นพิษที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

สามารถศึกษารายละเอียด ThaiHealth WATCH 2023 เพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3VJt5Q0

และดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็มได้ที่ https://bit.ly/3PJZggW

ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีปัญหามลพิษทางอากาศอย่างมากทั้งการจราจรบนถนนที่มีความหนาแน่น เมื่อมีการตรวจวัดปริมาณฝุ่นควันและก๊าซมลพิษจึงไม่น่าแปลกใจที่มักจะมีค่าเกินมาตรฐานอยู่เป็นประจำ รวมไปถึงจำนวนของรถยนต์และยานพาหนะต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบให้เกิดมลพิษทางอากาศทั้งสิ้น

รถ EV ช่วยโลก ช่วยเราได้ยังไง?

รถ EV ช่วยโลก ช่วยเราได้ยังไง?

รู้ไหม? ว่า…ในจำนวนคนทั่วโลกเสียชีวิตจากสาเหตุฝุ่นพิษถึง 2.5 ล้านคนต่อปี ซึ่งผลกระทบของ PM2.5 ทำให้จำนวนคนไทยนั้นเสียชีวิตเกือบปีละ 50,000 คน และการขับรถยนต์หนึ่งคัน สามารถปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร แต่การหันมาใช้รถ EV เพียงหนึ่งคันจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เฉลี่ย 1.5 ตันต่อปี หรือพูดง่าย ๆ ว่ามีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษอากาศก็น้อยกว่ารถยนต์เบนซินหรือดีเซล จึงทำให้มีส่วนช่วยผลักดันให้เกิดอากาศสะอาดได้เร็วยิ่งขึ้น เพราะรถ EV แทบจะไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขณะใช้งาน ช่วยลดมลพิษทางอากาศได้อย่างมาก

  1. รถ EV ปล่อยมลภาวะเกือบเท่ากับศูนย์

เนื่องจากรถ EV นั้นใช้แบตเตอรี่ในการขับเคลื่อน หรือจะเรียกว่าใช้พลังงานจากไฟฟ้า 100% เลยก็ได้ ไม่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนเหมือนกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน จึงส่งผลให้แทบจะไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเลยนั่นเอง นอกจากนี้ รถ EV ยังมีเครื่องยนต์ที่เงียบ ไม่ก่อมลพิษทางเสียง และไม่สร้างไอเสียจากการเผาผลาญพลังงานอีกด้วย

  1. รถ EV ขับเคลื่อนและออกตัวได้ดีกว่า

นอกจากรถ EV จะมอบการขับขี่ที่เงียบ เบา ไร้เสียงรบกวนแล้ว ยังให้การขับเคลื่อนและออกตัวได้ดีกว่า แถมอัตราเร่งก็ให้แรงบิดที่เร็ว เนื่องจากรถ EV ไม่ได้ใช้เครื่องยนต์สันดาป (เครื่องยนต์แบบสันดาปคือ เครื่องยนต์ที่มีการระเบิดหรือเผาไหม้ส่วนผสมของเชื้อเพลิงกับอากาศ) จึงทำให้การทำงานของรถ EV มีอัตราการเร่งที่เร็วและขับเคลื่อนได้ดีนั่นเอง

  1. รถ EV ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า

ใครที่ขับรถอยู่แล้วคงจะรู้กันดีว่าค่าน้ำมันในแต่ละเดือนหรือแต่ละสัปดาห์นั้นแทบจะปาดเหงื่อกันอยู่เป็นประจำด้วยราคาที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่กับรถ EV ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วนั้นมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า อีกทั้งการบำรุงรักษารถ EV ก็มีเพียงมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น ถือว่าช่วยเซฟไปได้มาก

  1. ใช้รถ EV ทั้งสะดวกและวางแผนเดินทางได้

เคยไหม? ขับรถจะถึงบ้านอยู่แล้วแต่เพิ่งสังเกตเห็นว่าน้ำมันใกล้หมด ครั้นจะขับออกไปสถานีเติมน้ำมันก็เหนื่อยล้าหรือประเมินแล้วว่าขับไปไม่ถึงแน่ ๆ แล้วล่ะก็…ปัญหานี้จะหมดไปถ้าเราเลือกใช้รถ EV เพราะเมื่อขับรถถึงบ้านแล้วก็สามารถเสียบชาร์จแบตเตอรี่ค้างคืนทิ้งไว้ได้เลย ตื่นเช้ามาก็พร้อมใช้งานได้เลย ซึ่งในปัจจุบันก็มีการสร้างและพัฒนาสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า หรือ EV Charger ครอบคลุมแล้วในหลายพื้นที่ หากรถแบตหมดระหว่างทางก็แวะชาร์จได้เลย

จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้าเราหันมาใช้รถ EV

จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้าเราหันมาใช้รถ EV

เมื่อรถ EV ไม่ปล่อยไอเสีย ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่ารถที่ใช้น้ำมัน จึงทำให้ส่งผลดีต่อโลกมากกว่า เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่เป็นการก่อมลพิษเพิ่มอีกด้วย ซึ่งในอนาคตเชื่อว่าจะต้องมีการพัฒนารถ EV ให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น เช่น การใช้แบตเตอรี่ซ้ำหรือรีไซเคิลได้ ก็จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลงได้มากยิ่งขึ้น

ทั้งหมดทั้งมวลนี้แสดงให้เห็นว่ารถ EV มีบทบาทสำคัญในการลดปล่อยคาร์บอนเพื่อเร่งให้ทุกคนได้มีอากาศสะอาดให้หายใจกัน

SHARE

RELATED POSTS